วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2554

การนวดและการกดจุดเสริมการล้างพิษ

การนวดและการกดจุดเสริมการล้างพิษ

การนวดสามารถช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ และยังช่วยกระตุ้นให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า

การนวดเพื่อให้ได้ผลดีมีขั้นตอนคร่าวๆดังนี้

1. เริ่มจากการนวดไล้อย่างแผ่วเบา เพื่อผ่อนคลายและอบอุ่นร่างกายและเตรียมความพร้อมให้กับเนื้อเยื่อภายใน
2. หลังจากนั้นจึงเริ่มออกแรงนวดกล้ามเนื้อต่างๆซึ่งจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต
3. เสร็จแล้วตามด้วยการออกแรงกด นวดให้ลึกตามจุดต่างๆ เพื่อบรรเทาสภาวะตึงเครียด
4. จบท้ายด้วยการนวดไล้อย่างแผ่วเบาอีกครั้งเพื่อปรับร่างกายให้สงบ และสมดุล

ซึ่งในที่นี้จะแบ่งการนวดออกเป็นข้อๆ ตามวัตถุประสงค์และลักษณะการนวด

การนวดไล้ร่างกาย

เป็นการนวดโดยออกแรงอย่างแผ่วเบา ด้วยการ
1. กางมือแบนราบบนแผ่นหลังส่วนบน แล้วค่อยๆเคลื่อนมือทั้งสองข้างไปตามแนวกระดูกสันหลังจนกระทั่งถึงกลางหลัง
2. แยกมือทั้งสองออกจากกันตามแนวซี่โครงแล้วลากมือย้อนกลับมาด้านบนช้าๆ จนถึงกระดูกสะบักหัวไหล่
3. หมุนข้อมือให้อยู่บริเวณที่เอียงลาดของหัวไหล่ แล้วค่อยๆออกแรงกดให้กล้ามเนื้อหัวไหล่คลายออก
4. ลากมือทั้งสองข้างไปตามแนวไหล่ลงไปยังแขนทั้งสองข้าง แล้วย้อนทำซ้ำตามขั้นตอนอีกประมาณ 3 ครั้ง

การนวดบีบ
การบีบและการคลึงจะช่วยให้กล้ามเนื้อถูกกระตุ้น ทำให้ลดอาการตึงของกล้ามเนื้อ และช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตไปสู่เนื้อเยื่อ พร้อมกับกำจัดของเสียที่อยู่ในเนื้อเยื่อ ทำให้จุดที่นวดบีบเกิดความกระฉับกระเฉง

การบีบหัวไหล่
1. ใช้นิ้วโป้ง และนิ้วที่เหลือของมือขวาบีบเนื้อ บริเวณหัวไหล่ขึ้นมา แล้วคลึงเนื้อที่บีบอยู่นั้นไปหามือซ้าย
2. ใช้มือซ้ายรับเนื้อที่บีบขึ้นมาแล้วบีบเนื้อนั้นไว้ และส่งกลับไปให้มือขวา ทำอย่างนี้สลับไปมาเพื่อคลายกล้ามเนื้อบริเวณรอบๆต้นคอ

การบีบลำตัว
ทำได้โดยการบีบกล้ามเนื้อบริเวณด้านข้างของลำตัวตามแนวซี่โครงและบริเวณเหนือกระดูกหัวไหล่ และช่วงต้นแขน

การบีบคลายอาการตึง
ผู้ถูกนวดอยู่ในท่านั่งตามสบาย ผู้นวดใช้นิ้วทั้งสี่ของมือแต่ละข้างจับหัวไหล่เอาไว้ แล้วใช้นิ้วโป้งคลึงและบีบเนื้อแล้วปล่อย ทำซ้ำหลายๆครั้ง

การนวดกล้ามเนื้อ
การนวดกล้ามเนื้อเป็นการนวดโดยเน้นการลงน้ำหนัก เพื่อคลายเส้น โดยใช้แรงกดจากนิ้วโป้งและนิ้วอื่นๆหรืออาจใช้อุ้งมือ โดยผู้นวดควรออกแรงกดอย่างช้าๆ และสม่ำเสมอในระดับที่ผู้ถูกนวดรับไหว โดยไม่ให้กล้ามเนื้อระคายเคือง ทุกครั้งที่นวดกล้ามเนื้อแบบลงน้ำหนักแล้วควรตามด้วยการนวดไล้ตรงบริเวณ นั้นๆด้วย

การนวดกล้ามเนื้อแบบคลึงเป็นวงกลม
ให้ผู้นวดกล้ามเนื้อตามแนวข้างกระดูกสันหลัง ด้วยการนวดคลึงเป็นวงกลม โดยการวางมือทั้งสองบนหลัง กดนิ้วโป้งทั้งสองข้างลงไปที่ด้านข้างกระดูกสันหลังตอนบนทั้งสองข้าง แล้วนวดคลึงเป็นวงเล็กๆ ไล่ลงไปถึงกลางหลังและนวดซ้ำประมาณสามเที่ยว

การนวดตัวเองอย่างง่ายๆ
การนวดตัวเองจะช่วยให้คุณเห็นคุณค่าในการดูแลสุขภาพตนเองมากขึ้น สามารถทำได้ทั้งตอนเช้าเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายมีชีวิตชีวา และตอนเย็นเพื่อช่วยให้ผ่อนคลายจากอาการเมื่อยล้าและขับไล่ความเครียดทิ้งไป ได้

นวดลูบใบหน้า
ใช้มือทั้งสองข้างลูบใบหน้าทั้งสองข้างให้ทั่วเป็นวงกลมหลายๆครั้ง ทั้งบนหน้าผาก แก้ม ขากรรไกร เพื่อให้ใบหน้าเกิดความผ่อนคลาย แล้วตามด้วยการคลึงขมับด้วยปลายนิ้ว

นวดรูดลำแขน
รูดแขนโดยให้น้ำหนักสม่ำเสมอกันด้วยมือข้างเดียว โดยไล่จากหัวไหล่ลงมาถึงหลังมือตลอดจนสุดปลายนิ้ว ช่วยลดอาการตึงยึดของร่างกาย ควรรูดซ้ำหลายๆเที่ยวที่แขนทั้งสองข้าง

นวดมือ
เป็นการช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อมือ โดยใช้นิ้วโป้งของมือข้างหนึ่งนวดไปตามมืออีกข้างหนึ่ง ใช้นิ้วที่เหลือประคองมือที่ถูกนวดไว้

บีบไหล่และแขน
ใช้มือข้างหนึ่งบีบกล้ามเนื้อไหล่อีกข้างหนึ่ง ตั้งแต่คอจนถึงหัวไหล่ ไล่เรื่อยมาถึงต้นแขน

นวดกล้ามหน้าอก
กดปลายนิ้วลงบนกล้ามเนื้อที่ด้านหนึ่งของกระดูกหน้าอก ไล่คลึงเบาๆไปจนถึงหัวไหล่

ทุบไหล่
กำมือข้างหนึ่งหลวมๆ แล้วทุบไปที่หัวไหล่ หลังคอและต้นแขนอีกข้างหนึ่ง โดยใช้มืออีกข้างหนึ่งจับข้อศอกข้างที่จะใช้ทุบเพื่อให้ทุบได้ถนัดขึ้น

สับต้นขา
การสับเป็นวิธีการนวดที่เหมาะสมสำหรับบริเวณที่มีเนื้อมากเช่นต้นขา เริ่มโดยการชันเข่าโดยวางเท้าบนเก้าอี้ที่ไม่สูงมากนัก แล้วสับด้วยสันมือทีละข้าง

คำแนะนำในการนวด

- เลือกสถานที่เงียบสงบ โปร่งสบาย และมีความเป็นส่วนตัว
- ควรให้ผู้รับการนวดนอนบนฟูกหรือเสื่อ
- การนอนที่ถูกต้องคือให้ส่วนหลังและคอยืดตรงไหล่ขยายออกไม่ห่อตัว
- ใช้ผ้าขนหนูผืนใหญ่ๆคลุมร่างกายส่วนที่ยังไม่นวดเพื่ออบอุ่นร่างกาย
- ใช้น้ำมันกอมระเหยช่วยในการนวด โดยหยดน้ำมันหอมระเหยสักสองสามหยดผสมกับน้ำมันพืช เช่น น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันเมล็ดอัลมอนด์ หรือน้ำมันอโวกาโด ก่อนนวดให้หยดน้ำมันลงบนฝ่ามือ ถูมือทั้งสองข้างให้พออุ่นก่อนนวด

การกดจุด
การกดจุด เป็นศาสตร์เก่าแก่ของชาวตะวันออกที่สืบทอดกันมานานนับพันปี โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อ และระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะส่วนที่ขาดความสมดุล กลับสู่ภาวะปกติ และช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดที่เกิดขึ้นด้วย แต่กว่าที่ทางการแพทย์จะยอมรับเรื่องการกดจุดนั้น ใช้เวลาในการพิสูจน์สรรพคุณยาวนานพอดู ปัจจุบันการกดจุดเป็นที่ยอมรับทั่วโลก โดยเฉพาะการแพทย์แผนตะวันตกได้หันมาศึกษาเรื่องการกดจุดกันมาก

การกดจุดเป็นทางเลือกในการดูแลตัวเองเพื่อเสริมการล้างพิษอย่างง่ายๆ ก่อนอื่นลองตอบคำถามข้างล่างนี้ก่อนนะคะ

คุณเคยทำสิ่งเหล่านี้บ้างหรือเปล่า
1. เมื่อเกิดอาการปวดหัว ก็เอานิ้วคลึงที่ขมับทั้งสองข้าง
2. บางครั้งปวดตา ก็ใช้นิ้วบีบที่หัวตาทั้งสองข้างเหนือสันจมูก

ถ้าคุณเคยทำข้อใดข้อหนึ่ง หรือทั้งสองข้อข้างต้น ก็แสดงว่าคุณได้กดจุดให้ตัวเองแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง เรียกได้ว่าธรรมชาติการรักษา ดูแลตัวเองที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ ได้สอนเรื่องการกดจุดกับเรา และเมื่อมีการรักษาทดลอง อย่างเป็นระบบ จึงได้เกิดศาสตร์แห่งการกดจุดขึ้นมา ทั้งนี้การกดจุดนั้นมีรายละเอียดมากพอสมควร แต่ไม่ยากที่จะเรียนรู้ หากคุณสนใจที่จะกดจุดด้วยตัวเอง ทำได้โดยการหาหนังสือเรื่องการกดจุดดีๆสักเล่มมาอ่าน โดยเลือกเล่มที่เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจศาสตร์แห่งการกดจุดอย่างถ่อง แท้ และได้รับการยอมรับก่อนเริ่มลงมือกดจุดควรอ่านและทำความเข้าใจ โดยทั่วไปหนังสือเรื่องการกดจุดจะมีภาพประกอบ และคำอธิบายที่กระชับเข้าใจง่าย สามารถทำตามได้ทันทีหรือจะเลือกไปเรียนกับอาจารย์ตามคอร์สต่างๆที่เปิดสอน กันอย่างแพร่หลายก็ได้

จุดสำคัญอยู่ที่มือและเท้า
การกดจุด คือการใช้มือ หรือนิ้ว กดลงไปยังจุด ที่มีเส้นประสาท หรือเส้นโลหิต ที่เชื่อมต่อหรือเกี่ยวข้องกับอวัยวะหรืออาการต่างๆเพื่อบรรเทา หรือรักษาอาการนั้นๆ โดยมักจะอยู่บริเวณมือและเท้า เนื่องจากที่มือและเท้าเป็นศูนย์รวมของจุดสำคัญต่างๆในร่างกาย
โดยที่มือเปรียบได้กับเป็น สมองที่
2 ของร่างกาย เนื่องจากปลายนิ้วสามารถรับสัมผัสได้ดีมาก เพราะมีเส้นประสาทอยู่มากมาย เมื่อบริเวณนี้ถูกกระตุ้น จะเปลี่ยนเป็นสัญญาณไฟฟ้าส่งไปยังสมอง จึงสามารถติดต่อกับสมองได้โดยตรง การกดจุดที่มือแม้เพียงแผ่วเบาก็สามารถแก้ไขอาการต่างๆได้ และยังเป็นการกระตุ้นสมองที่ให้ผลดีอีกด้วย
ส่วนเท้านั้นเปรียบได้กับ หัวใจดวงที่สอง เนื่องจากเท้าทำหน้าที่ช่วยสูบเลือด ดันส่งเลือดให้ไหลผ่านเส้นเลือดดำ กลับเข้าสู่หัวใจโดยการบิดตัวของกล้ามเนื้อเท้าช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตใน หลอดเลือดดำเป็นปกติ เราจึงควรพยายามทำให้เลือดบริเวณเท้าไหลเวียนได้สะดวก เพราะจะส่งผลดีต่อรับไหลเวียนโลหิตทั่วร่างกายด้วย
นอกจากนี้ การกดจุดจะช่วยปรับการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติให้เป็นปกติ
(ระบบประสาทอัตโนมัติ คือ ระบบประสาทที่อยู่นอกอำนาจการควบคุมของจิตใจ) เช่น การเต้นของหัวใจ การทำงานของกระเพาะอาหารและลำไส้ การยืด หดตัวของหลอดเลือด การปรับสภาพภายในปอดและหลอดลม เป็นต้น
การกดจุดเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดนั้น ถ้ากดจุดอยู่บนกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ที่ไม่ได้มีอาการอักเสบ บวม แดง หรือรู้สึกร้อน หรืออุ่นตรงบริเวณนั้นๆ จะสามารถกดจุดให้หายปวดได้ แต่ต้องระวังไม่กดแรงจนเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดการระบมได้ และไม่ควรกดจุดที่ข้อ เมื่อเกิดอาการข้ออักเสบ เพราะจะทำให้อักเสบมากยิ่งขึ้น
การกดจุดช่วยเสริมการล้างพิษได้อย่างดี แต่ผู้ปฏิบัติต้องมีความอดทน พยายามทำอย่างต่อเนื่องไม่ขาดตอนจึงจะเห็นผลได้

ข้อแนะนำในการกดจุด
1. เลือกสถานที่ที่เป็นส่วนตัว เงียบสงบ เช่น ในห้องนอน อาจจุดน้ำมันหอม หรือเปิดเพลงเบาๆ เพื่อผ่อนคลาย
2. เวลาที่เหมาะสม คือ เช้า และก่อนเข้านอน หรือหลังอาบน้ำ
3. เมื่อเจ็บป่วยต้องพบแพทย์ก่อน แล้วจึงใช้การกดจุดรักษาอาการร่วมด้วย ไม่ควรรักษาด้วยวิธีการกดจุดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
4. ไม่ควรกดจุดขณะตั้งครรภ์ มีไข้ หรือมีแผลอักเสบ บวม บริเวณที่จะกดจุด
5. หลังทานข้าวใหม่ๆหรือขณะหิว ไม่ควรกดจุด

ตัวอย่างในการกดจุกแบบง่ายๆ

กดจุดแก้ปวดศีรษะ
ตำแหน่งกด ตรงรอยบุ๋มที่ท้ายทอย แนวเดียวกับกกหู
วิธีกด ใช้หัวแม่มือทั้งสองข้างกดลงบนจุดดังกล่าวโดยให้นิ้วที่เหลือกางออกจับศีรษะเอาไว้ กดค้างไว้ประมาณ
2-3 นาที

กดจุดแก้สะอึก
ตำแหน่งกด อยู่ที่หัวคิ้วทั้งสองข้าง
วิธีกด นั่งตัวตรงหรือนอนหงาย ใช้หัวแม่มือทั้งสองข้างกดลงบนจุดที่หัวคิ้ว ให้กดเบาๆแล้วค่อยๆแรงขึ้นประมาณ
3-6 นาที

กดจุดแก้อาการหาว
การหาวอาจเกิดจาก การเคลื่อนไหวของชีพจรคอและกล้ามเนื้อบริเวณคอเกิดอุดตัน ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการหมุนเวียนโลหิตในสมอง จึงทำให้ออกซิเจนไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ เมื่อสมองขาดออกซิเจน จึงทำให้หาว เมื่อกดจุดจะช่วยให้อาการหาวหายไป และยังทำให้ไม่ง่วงนอน ไม่ปวดศีรษะอีกด้วย
ตำแหน่งกด บริเวณลำคอด้านหน้าใกล้กับกระดูกไหปลาร้า มีจุดกดทั้งหมดสี่จุด ด้านซ้ายสองจุด ด้านขวาสองจุด
วิธีกด ให้ใช้หัวแม่มือข้างเดียวกดจุดดังกล่าวทีละจุด จุดละสามวินาที กดซ้ำสามรอบ

ผิวพรรณกับการล้างพิษ

ขัดผิวกาย
การขัดผิวเป็นการช่วยกระตุ้นให้ร่างกายขับสารพิษออกทางผิวหนัง ช่วยขจัดคราบสกปรก และเปิดรูขุมขนซึ่งเป็นการทำความสะอาดผิวที่ฝังแน่นอยู่ใต้ผิวหนัง และส่วนที่อยู่ลึกลงไปในเซลล์เนื้อเยื่อ การขัดผิวนับเป็นวิธีกระตุ้นการไหลเวียนเลือดที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล
การใช้ผงหรือครีมขัดผิวเนื้อหยาบที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอมระเหย จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขัดผิวช่วยขับเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและยังให้ความรู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย สบายตัว

ขัดผิวหน้า
ปัจจัยด้านมลภาวะ การดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ และสภาพอากาศที่เลวร้ายส่งผลให้ผิวหน้าหยาบกร้าน มีริ้วรอย การขัดผิวหน้าด้วยสารขัดผิวที่อ่อนโยนจะช่วยให้ผิวหน้าสะอาดอ่อนนุ่ม และเต่งตึงขึ้น

อบหน้า
เมื่อเราอบหน้าด้วยไอน้ำร้อน ความร้อนจากไอน้ำจะช่วยเปิดรูรุมขน และช่วยทำความสะอาดได้อย่างล้ำลึก ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ช่วยให้ผ่อนคลาย ผิวหน้ามีสุขภาพดี
เราสามารถอบหน้าด้วยวิธีง่ายๆโดยการเตรียมอ่างใบเล็กๆ ที่มีความกว้างกว่าใบหน้าของเรามาหนึ่งใบ เทน้ำร้อนลงไปพอประมาณ เติมน้ำมันระเหย เช่น กลิ่นกุหลาบ หรือคาโมไมล์ลงไป แล้วก้มหน้าให้ใกล้กับภาชนะ ให้ใบหน้าได้สัมผัสกับไอน้ำ แล้วคลุมศีรษะตลอดจนภาชนะด้วยผ้าขนหนูเพื่อเก็บได้ความร้อนไว้ การอบหน้าใช้เวลาประมาณ
5-10 นาที
เราสามารถอบหน้าด้วยการใช้กลีบดอกไม้แทนน้ำมันหอมระเหยได้ โดยใช้กลีบดอกไม้สดๆ เช่น กลีบกุหลาบ กลีบดอกคาโมไมล์ หรือใบสะระแหน่ ก็ให้ความกอมและความสดชื่นได้ไม่แพ้กัน
ทั้งนี้ผู้ที่มีปัญหาเส้นเลือดขอดไม่ควรใช้วิธีอบหน้าด้วยไอความร้อน

พอกโคลน
ด้วยสรรพคุณในด้านการบำบัดของโคลนธรรมชาติอันเต็มไปด้วยอินทรีย์ สาร ทำให้การพอกโคลนเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย เมื่อเรานำโคลนมาพอกที่ผิวกาย อินทรีย์สารและแร่ธาตุต่างๆที่มีอยู่ในโคลนนี้จะช่วยบำรุงรักษาผิวพรรณ ช่วยรักษาบาดแผล บำบัดอาการผื่นคัน และขจัดเซลล์ที่ตายแล้วออกไป
การพอกโคลนให้ได้ประสิทธิผลอย่างเต็มที่ คือ การพอกให้ทั่วทั้งตัว โดยจะพอกด้วยตัวเองที่บ้าน หรือไปใช้บริการตามศูนย์สปาต่างๆก็ได้ การเลือกใช้โคลนที่มีส่วนผสมของสมุนไพร หรือเครื่องเทศที่มีสรรพคุณในการบำบัดก็เป็นทางเลือกที่ดี โดยทั่วไปการพอกโคลนจะใช้โคลนชนิดพิเศษที่มีสรรพคุณในการบำบัดแตกต่างกันออก ไปของไทยเราก็มีโคลนสีขาวที่เรารู้จักกันดี คือ ดินสอพอง โดยดินสอพองของไทยเรานี้เมื่อนำมาผสมกับขมิ้นมาร์โจแรมและน้ำแร่ จะมีสรรพคุณต่อต้านการขับเหงื่อ ช่วยให้ผิวชุ่มชื่น เย็นสบาย


อ่านบทความถัดไป >> ล้างพิษให้จิตใจ

อ่านบทความก่อนหน้า >> การออกกำลังกายเพื่อการล้างพิษ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น