วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2554

Detox ล้างพิษ เพื่อชีวิตที่สดใส

ทุกวันนี้ดูเหมือนว่าความแรงของกระแสการบำบัดรักษาโรคด้วยวิถีทางธรรมชาติยังคงเป็นที่นิยมอย่างต่อเนื่อง

การล้างพิษก็เป็นอีกหนึ่งวิธีในการดูแลสุขภาพและบำบัดรักษาโรคด้วยวิธีทางธรรมชาติ

เพราะในแต่ละวัน ร่างกายมีโอกาสได้รับสารพิษสารเคมีจากสิ่งแวดล้อมที่ปนเปื้อนมากับอาหาร อากาศ หรือสิ่งของเครื่องใช้ที่เราสัมผัสและรับเข้าสู่ร่างกาย

การสะสมของสารพิษเหล่านี้ อาจก่อให้เกิดความผิดปกติหรือโรคภัยไข้เจ็บต่างๆได้ อาทิ โรคภูมิแพ้ หอบหืด โรคทางเดินหายใจอื่นๆ หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับทางเดินอาหาร เช่น ท้องผูก ไปจนถึงโรคที่รุนแรงอย่างโรคมะเร็ง เป็นต้น

“การล้างพิษ” จึงถือเป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยขจัดสารพิษที่สะสมอยู่ภายในร่างกาย คล้ายๆกับการอาบน้ำเพื่อชำระล้างสิ่งสกปรกที่เกาะติดอยู่ตามร่างกายภายนอก ซึ่งสิ่งที่ได้ตามมาก็คือ ความสดชื่น เช่นเดียวกับการล้างพิษ เพราะสิ่งที่ได้ตามมาก็คือ สุขภาพที่ดีขึ้น และประสิทธิภาพในการทำงานที่เพิ่มขึ้น

รู้อย่างนี้แล้วเรามาศึกษาการล้างพิษ หรือที่เรียกว่า “DETOX” เพื่อชีวิตที่สดใสกันดีกว่า

ร่วมกันขจัดสารพิษรอบตัว

บทส่งท้าย ร่วมกันขจัดสารพิษรอบตัว

อย่างที่กล่าวเอาไว้ใน Part แรก ว่าทุกวันนี้สิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเรา ล้วนเต็มไปด้วยการปนเปื้อนของสารพิษอยู่ทั่วไป ไม่ว่าจะในน้ำ อาหาร อากาศ สิ่งของ เครื่องใช้ และสิ่งต่างๆที่เราต้องสัมผัสอยู่เป็นประจำ การดูแลรักษาความสะอาด และการหลีกเลี่ยงไม่ปะทะสัมผัสกับสารพิษจึงเป็นการป้องกันที่ดีที่สุด

และนี่คือ ตัวอย่างของการปฏิบัติเพื่อป้องกันและช่วยขจัดสารพิษต่างๆที่อยู่รอบตัวเรา
1. ล้างผักและผลไม้ให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง โดยใช้น้ำยาล้างผัก หรือแช่ผงล้างผัก (ที่หาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป) การล้างควรเปิดก๊อกน้ำให้น้ำไหลเวียนและล้างหลายๆน้ำ
2. เลือกซื้อชา กาแฟ ผัก ผลไม้ที่ปลอดสารพิษ
3. ไม่ควรแช่ผักไว้ในตู้เย็นนานเกิน 2-3 วัน จะทำให้ผักไม่สด หากไม่สะดวกซื้อผักสดทุกวันอาจเลือกซื้อผักแช่แข็งสำเร็จรูป เช่น ถั่วลันเตาแช่แข็ง จะทำให้สารอาหารที่ครบถ้วนกว่า
4. เลือกซื้อปลากระป๋อง ประเภท ปลาแซลมอน ปลาทูน่า และปลาซาร์ดีน ไว้ใช้ปรุงอาหารเมื่อไม่มีเวลาไปซื้อปลาสดๆมาทาน
5. เลือกซื้ออาหารหรือซุปกระป๋อง ซุปกล่องที่มีคุณภาพ และไม่ใส่สารปรุงแต่ง
6. หากไม่สามารถซื้อน้ำผลไม้คั้นสดดื่มได้ อาจเลือกซื้อน้ำผลไม้แบบบรรจุกล่องหรือกระป๋องที่ไม่ใส่สารกันบูด และควรเลือกชนิดที่มีเนื้อผลไม้ปนอยู่ด้วย เพราะจะมีสารไบโอฟลาโวนอยด์ ช่วยป้องกันไข้หวัดใหญ่ และบรรเทาอาการหลอดลมอักเสบ
7. ติดเครื่องกรองน้ำไว้ที่ห้องครัว เพื่อใช้ทำอาหาร ชงชา กาแฟ ล้างผักผลไม้ และใช้ดื่ม
8. ใช้ตะไคร้หอมไล่ยุงแทนการจุดยากันยุง
9. ใช้เครื่องสำอาง และครีมบำรุงผิวที่มีสารเคมีน้ำหอม และแอลกอฮอล์ให้น้อยที่สุด โดยหันมาเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสมุนไพรธรรมชาติแทน
10. ถ้าต้องทานยาปฏิชีวนะเป็นเวลานาน ควรทานโยเกิร์ตทุกวันเพื่อชดเชยเชื้อแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้ หรือทานอะซิโดฟิลัสที่มีทั้งชนิดผงและชนิดเม็ดแทนก็ได้
11. อ่านรายละเอียดของยา อ่านฉลากอาหารทุกครั้ง และตรวจสอบวันหมดอายุก่อนรับประทาน
12. ลดการใช้พลาสติด โดยหันมาใช้ถุงผ้า หรือตะกร้าแทน
13. ซื้อผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน น้ำยาทำความสะอาดบ้านตลอดจนผลิตภัณฑ์ทุกชนิดที่ไม่มีสารพิษต่อสิ่งแวดล้อม หรือสารตกค้างต่างๆ
14. หันมาใช้น้ำมันไร้สารตะกั่ว ใช้สีทาบ้านและเครื่องครัวที่ไม่มีส่วนประกอบของตะกั่ว
15. เปลี่ยนหมอน ปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน และซักผ้าห่มบ่อยๆ สำหรับผู้ที่เป็นไซนัสอักเสบหรือภูมิแพ้ควรใช้หมอนชนิดที่ป้องกันภูมิแพ้
16. เลือกใช้ฟูกที่ทำจากยางพารา เพราะช่วยป้องไรฝุ่นและสิ่งกระตุ้นูมิแพ้อื่นๆ
17. จุดน้ำมันหอมเพื่อความผ่อนคลาย และขจัดกลิ่นอับในบ้าน หรือในที่ทำงาน แนะนำให้ใช้กลิ่นยูคาลิปตัส เปปเปอร์มินต์ หรือลาเวนเดอร์
18. เลือกใช้เครื่องดูดฝุ่นที่สามารถดูดไรฝุ่นออกจากพรมได้ หรือปูพื้นบ้านด้วยไม้แทนพรม
19. หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีคนสูบบุหรี่
20. พยายามลดปริมาณแอลกอฮอล์โดยงดดื่มสัปดาห์ละ 3-4 วัน และไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์หลายๆชนิดผสมกัน

เพาะกล้าอ่อนไว้รับประทาน

กล้าอ่อน เป็นอาหารมากคุณค่าอยากแนะนำให้มีติดครัวไว้เสมอ เพราะนอกจากคุณค่าแสนดีแล้วยังมีราคาถูก เพาะเองได้ง่ายมาก ทำให้เป็นผักปลอดสารพิษที่รับประทานเองได้อย่างสบายใจ อีกทั้งยังรู้สึกสนุก และภูมิใจที่ได้เพาะเอง
เหตุผลที่ทำให้กล้าอ่อนมีคุณค่าอาหารมากเนื่องจากในกระบวนการที่พืชกำลังงอกนั้นปริมาณวิตามินจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 700 เปอร์เซ็น กล้าอ่อนยังอุดมไปด้วยวิตามินบี 12 ซึ่งหาได้ในผักไม่กี่ชนิดเท่านั้น ขณะที่ต้นกล้าเริ่มงอก แป้งจะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาลโมเลกุลไม่ซับซ้อน ไขมันกลายเป็นกรดไขมัน โปรตีนเป็นกระอะมิโน จึงย่อยง่ายและไม่ทำให้เยื่ออ่อนในร่างกายเกิดน้ำมูกเหมือนตอนที่เป็นเมล็ด กล้าอ่อนเรียกได้ว่าเป็นอาหารอายุวัฒนาที่หาได้ง่ายที่สุด

วิธีเพาะกล้าอ่อน

1. ล้างเมล็ดพืชให้สะอาด เลือกเมล็ดที่แตกและสิ่งสกปรกออก
2. นำเมล็ดพืชใส่ภาชนะ เช่น ถัง หรือชามขนาดใหญ่ เติมสะอาด เช่น น้ำกรอง น้ำแร่ หรือน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว ให้น้ำท่วมเมล็ดสูงประมาณ 2-3 นิ้ว (ไม่ควรใช้น้ำประปา เพราะกล้าอ่อนจะดูดสารเคมีที่ปนมากับน้ำและคลอลีนในน้ำประปาจะยับยั้งการงอกของต้นกล้าด้วย)
3. แช่เมล็ดพืชไว้ตามเวลาที่กำหนดให้ในตาราง หากแช่เป็นเวลานานควรเปลี่ยนน้ำด้วย
4. เมื่อครบกำหนดเวลาให้เทน้ำทิ้ง หรือบางครั้งเมล็ดอาจดูดน้ำจนหมด
5. เทน้ำสะอาดเข้าไปใหม่ให้ทุกเมล็ดได้คลุกเคล้ากับน้ำ แล้วเทน้ำออกให้หมด ทำเช่นนี้วันละ 2 ครั้ง เช้า เย็น ระวังอย่าให้น้ำค้างในภาชนะมากเกินไปจะทำให้เมล็ดเน่าได้
6. หลังจาก 3-5 วัน กล้าอ่อนที่งอกออกมาก็กินได้ นำออกมาล้างแล้วใส่ถุงพลาสติกเก็บไว้ในตู้เย็น ไว้ออกมากินกับสลัด (หรือใช้ประกอบอาหารต่างๆ สำหรับผู้ที่ไม่ได้อยู้ในช่วงล้างพิษ) กล้าอ่อนที่อยู่ในตู้เย็นควรทานให้หมดภายใน 5-7 วัน

ตารางเพาะกล้าอ่อน

ชนิดของเมล็ด

ระยะเวลาในการแช่น้ำก่อนเพาะ

ระยะเวลาในการเพาะ

ข้อแนะนำ

งา

6-8 ชั่วโมง

3-4 วัน

หากงอกยาวเกินไป กล้าอ่อนจะมีรสขมมาก

ฟีนูกรีก

6-8 ชั่วโมง

3-4 วัน

เหมาะสำหรับขับสารพิษออกจากร่างกาย ควรใช้ผสมกับกล้าอ่อนชนิดอื่น มีรสเหมือนกะหรี่

มัสตาร์ด

ไม่ต้องแช่น้ำ

4-5 วัน

หากปลูกกับกระดาษทิชชู่ 7 วัน ตัดเอายอดเขียวไปทำสลัดได้

แรดดิช

ไม่ต้องแช่น้ำ

4-5 วัน

มีรสเผ็ดฉุนจึงควรใช้ผสมกับกล้าอ่อนชนิดอื่น ใช้สำหรับกำจัดน้ำมูกและรักษาอาการอักเสบของเนื้อเยื่ออ่อน

อัลฟัลฟา

6-8 ชั่วโมง

5-6 วัน

มีวิตามินและเกลือแร่สูง

ทานตะวัน

24 ชั่วโมง

1-2 วัน

กล้าอ่อนของทานตะวันจะช้ำง่ายมากจึงต้องหยิบอย่างเบามือ

ถั่วลันเตา

18 ชั่วโมง

3-4 วัน

อาจต้องเติมน้ำ 2 ครั้งขณะแช่

เลนทิล

10-15 ชั่วโมง

3-5 วัน

เพาะทิ้งไว้ได้นานถึง 6 วัน

ถั่วเขียว

15 ชั่วโมง

3-5 วัน

สามารถทำให้ถั่วงอกมีรสหวานได้โดยการเพาะในที่มืด

ถั่วเหลือง

24 ชั่วโมง

3-5 วัน

ควรเปลี่ยนน้ำบ่อยๆขณะแช่

ข้าวสาลี

12-15 ชั่วโมง

2-3 วัน

มีวิตามินบีสูง น้ำที่แช่เมล็ดข้าว ใช้ดื่มหรือทำซุปได้

ข้าวไรน์

12-15 ชั่วโมง

2-3 วัน

มีรสอร่อย และมีประโยชน์ต่อต่อมไร้ท่อ

ข้าวบาร์เลย์

12-15 ชั่วโมง

2-3 วัน

มีรสหวาน เหมาะสำหรับคนผอมหรือคนที่เพลียง่าย

ข้าวฟ่างมิลเลต

5-8 ชั่วโมง

3-4 วัน

เป็นกล้าอ่อนชนิดเดียวที่มีฤทธิ์เป็นด่าง


อ่านบทความก่อนหน้า >> ล้างพิษระดับจิตวิญญาณ

ล้างพิษระดับจิตวิญญาณ

ล้างพิษระดับจิตวิญญาณ

สุขภาวะที่สมบูรณ์ทางจิตวิญญาณ (spiritual well being) หมายถึงสุขภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อทำความดี หรือจิตสัมผัสกับสิ่งที่มีคุณค่าอันสูงส่งหรือสิ่งสูงสุด เช่น การเสียสละ การมีความเมตตา กรุณา การเข้าถึงพระรัตนตรัย หรือ การเข้าถึงพระผู้เป็นเจ้า เป็นต้น ความสุขทางจิตวิญญาณเป็นความสุขที่ไม่ระคนอยู่กับความเห็นแก่ตัว แต่เป็นสุขภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อมนุษย์หลุดพ้นจากความมีตัวตน (self transcending) จึงมีอิสรภาพ มีความผ่อนคลายอย่างยิ่ง เบาสบาย มีความปิติแผ่ซ่านไปทั่ว มีความสุขอันประณีตและล้ำลึก หรือมีความสุขอันเป็นทิพย์ สบายอย่างยิ่ง สุขภาพดีอย่างยิ่ง มีผลต่อสุขภาพทางกาย ทางจิต และทางสังคม
แต่เดิมการแพทย์ตะวันตกนั้นจะเน้นเรื่อง
สุขภาพทางกายโดยกล่าวถึงอวัยวะของร่างกายที่มองเห็น สัมผัส จับต้องได้ การศึกษาทางการแพทย์ก็มีการพัฒนามาจากฐานของการแพทย์ทางกาย หลังจากนั้นเมื่อมาถึงศตวรรษที่ 19-20 ผู้คนเริ่มหันมามอง สุขภาพจิตและให้ความสนใจ ศึกษากันมากขึ้น เนื่องจากเริ่มพบว่าคนบางคนแม้มีสุขภาพกายดีหมดทุกอย่าง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บใดๆ แต่กลับไม่มีความสุขในชีวิต ไม่สามารถเข้าสังคมได้เหมือนอย่างคนปกติ เนื่องจากมีปัญหาทางสุขภาพจิตนั่นเอง พอได้ศึกษาเรื่องสุขภาพจิตจึงได้พบว่า เรื่องของจิตนั้น มีควมละเอียดอ่อน และสลับซับซ้อนไม่แพ้ระบบต่างๆในร่างกายเช่นกัน
คนอีกหลายๆคนที่มีสุขภาพทางกาย และจิตดีแล้ว แต่ก็ยังมีปัญหา สร้างความเดือดร้อนให้กับสังคมและบุคคลรอบข้าง เนื่องจากขาดทักษะชีวิต และทักษะสังคม ทำให้องค์การอนามัยโรค ได้ตั้งคำถามขึ้นมาว่า
อุดมการณ์ชีวิตหรือจิตวิญญาณมีความหมายว่าอย่างไร ทำให้มีคำว่าสุขภาพทางจิตวิญญาณขึ้นมาโดยการที่จะพัฒนาปรับปรุงพฤติกรรม และจิตใจให้เกิดผลดีอย่างถาวรต้องเริ่มต้นจากการพัฒนาปัญญา และจิตวิญญาณให้เข้าถึงสัจจะได้ จนเกิดความรู้แจ้ง เห็นจริง เพราะปัญญาเป็นตัวที่จะปลดปล่อยจิตใจให้เป็นอิสระ ทำให้จิตมีดุลยภาพโดยสมบูรณ์ เรียกว่าเป็นสุดยอดของ E.Q. นั่นเอง
ถ้าสังเหตให้ดีจะพบว่าโรคทางจิตวิญญาณ หรือการที่จิตวิญญาณเป็นพิษนั้นก่อให้เกิดผลเสียมากที่สุด เพราะบางครั้งพิษทางกายนั้นนานๆจะส่งให้เจ็บป่วยกันสักหนหนึ่ง แต่พิษทางจิตวิญญาณนี้แสดงผลออกมาได้ตลอดเวลาโดยที่หลายๆคนไม่รู้ตัว และยังเป็นสาเหตุให้เกิดโรคทางกายอีกด้วย เช่น ทำให้วิตกกังวล นอนไม่หลับ หากมีการรบกวนทางจิตมากก็จะทำให้ เป็นโรคกระเพาะ โรคลำไส้ ตลอดจนโรคร้ายต่างๆก็จะตามมา

ตัวอย่างพิษในจิตวิญญาณ
1. ความโกรธ
2. ความเกลียด
3. ความกลัว
4. ความตื่นเต้น
5. ความวิตกกังวล
6. ความอาลัยอาวรณ์
7. ความอิจฉาริษยา
8. ความหวง
9. ความหึง
10. ความสงสัย ไม่แน่ใจ
11. ความหยิ่ง
12. ความลุ่มหลง
13. ความคิดแง่ลบ
14. ความโลภ

ตัวอย่างเหล่านี้คงพอทำให้คุณได้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องล้างพิษทาง จิตวิญญาณกันอย่างจริงจัง โดนการจะกำจัดพิษในระดับนี้จำเป็นต้องเข้ามาเรียนรู้ฝึกฝนจากศาสนา โดยที่ศาสนาต่างๆทั่วโลกมักมีจุดยืนที่ตรงกันอยู่อย่างหนึ่งคือ การให้ความหมายของการมีชีวิตอยู่ เพื่อการอยู่อย่างมีคุณค่า มีเป้าหมาย และเพื่อวัตถุประสงค์ที่ดี ตลอดจนส่งผลถึงชีวิตหลังความตาย
การล้างพิษออกจากจิตวิญญาณสามารถทำได้โดยการเริ่มต้นสร้างศรัทธาให้กับชีวิต
ศรัทธาในชีวิตคือการเห็นคุณค่า และความงามของชีวิต เป็นการกระตุ้นพลังวิเศษที่มีอยู่ภายในชีวิตของเราทุกคนออกมา โดยที่ทุกระบบของร่างกายนับตั้งแต่เซลล์ เนื้อเยื่อ ไปจนถึงอวัยวะต่างๆ จะทำงานสอดประสานกันอย่างดีเยี่ยม เมื่อร่างกายทำงานดี ระบบคุ้มกันเข้มแข็ง ทำให้ร่างกายสามารถปกป้องอันตรายจากเชื้อโรค สารพิษ หรืออนุมูลอิสระ ไม่ให้มารบกวนร่างกายได้ เราก็จะมีอายุยืนยาว ซึ่งโดยปกติ มนุษย์เราจะมีอายุยืนยาวได้ถึง
120 ปี
การสร้างศรัทธาให้ชีวิตเป็นเรื่องที่เราต้องเริ่มต้นทำด้วยตนเอง ไม่มีใครทำแทนเราได้ ครั้นจะไปหาซื้อด้วยเงินทองก็ไม่ได้ ไม่มีใครเขาทำขายกัน วิธีเดียวคือเราต้องเริ่มสร้างความตระหนัก และเรียนรู้ในคุณค่าของชีวิตอย่างแท้จริง ซึ่งการเริ่มโดยการศึกษาหลักคำสอนศาสนาต่างๆ ก็เป็นวิธีที่ดี และง่ายที่สุด


อ่านบทความถัดไป >> ร่วมกันขจัดสารพิษรอบตัว

อ่านบทความก่อนหน้า >> ล้างพิษให้จิตใจ