วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2554

การออกกำลังกายเพื่อการล้างพิษ

การออกกำลังกายเพื่อการล้างพิษ

เราคงทราบถึงคุณประโยชน์ของการออกกำลังกายกันดีอยู่แล้ว ทั้งในแง่การเสริมสุขภาพ การป้องกัน รักษาโรค ชะลอความชรา หรือว่าสามารถทำให้คนที่อ้วนนั้นกลับมีรูปร่างผอมเพรียวลง รวมทั้งยังทำให้คนที่ผอมเกินไปนั้นอ้วนขึ้นมาได้
การออกกำลังกายจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ใช้ประกอบการล้างพิษ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด คิดว่าจะให้คุณออกกำลังกายในขณะที่คุณกำลังอดอาหารตามโปรแกรมการล้างพิษ แต่คุณควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอทั้งก่อน-หลังล้างพิษ และออกกำลังเป็นประจำเรื่อยไปอย่างสม่ำเสมอ โปรดจำไว้ว่าไม่ว่าคุณจะปฏิบัติตามขั้นตอนการล้างพิษอย่างเคร่งครัดเพียงใด แต่หากคุณตัดการออกกำลังกายออกจากชีวิตประจำวันแล้วละก็การล้างพิษก็ไม่ สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่ดีได้
การออกกำลังกายมีความจำเป็นต่อสุขภาพเทียบเท่ากับการรับประทานอาหารที่มี ประโยชน์ การออกกำลังกายเพื่อการล้างพิษนั้น ต้องเป็นการออกกำลังกายจนถึงจุด
Peak คือเมื่อกล้ามเนื้อทั้งภายในและภายนอกได้ออกแรงเต็มที่ มีเหงื่อออกเปียกชุ่ม ชีพจรเต้นเร็ว ถึง 100-120 ครั้งต่อนาที จนทำให้ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโต (Growth Hormone) หลั่ง ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้เป็นฮอร์โมนที่หลั่งต่อมพิทูทารีในสมอง จัดเป็นฮอร์โมนที่ช่วยให้เซลล์มีความสดชื่นแข็งแรงอยู่เสมอ เมื่อคนเราอายุเลยวัยเจริญเติบโตเต็มที่ คือประมาณ 18-22 ปี ร่างกายก็ตะหลั่ง Growth Hormone น้อยลง จนถึงวัยสูงอายุก็จะหยุดหลั่ง เป็นเหตุให้เกิดความแก่ชรา แต่หากใครพยายามทำให้เจ้าฮอร์โมนตัวนี้ยังหลั่งอยู่เสมอก็สามารถยืดเวลาของ ความเป็นหนุ่มสาวไปได้อีกและทำให้สุขภาพแข็งแรง สดชื่นอยู่เสมอ
สำหรับบางคนที่ไม่ชอบออกกำลังกาย ขอให้ลองพิจารณาถึงประโยชน์อันมหาศาลของการออกกำลังเหล่านี้ดู เชื่อว่าจะทำให้หลายๆคน กลับตัวกลับใจหันมาออกกำลังกายกันบ้าง

ประโยชน์ของการออกกำลังกาย

1. ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ทำให้มีพลังมากขึ้น ไม่ว่าจะทำงานหรือหยิบจับอะไรก็สบาย ง่าย คล่อง ไม่เหนื่อยง่าย เมื่อเจอปัญหาก็จะแก้ไขได้ดีกว่า
2. ทำให้รูปร่างและบุคลิกภาพดีขึ้น คนที่อ้วนเกินไปจะผอมลง ส่วนคนผอมที่อยากอ้วนขึ้นก็ทำได้ด้วยการออกกำลังกาย ทั้งนี้การออกกำลังกายเป็นวิธีที่ดี และได้ผลมากที่สุดสำหรับการควบคุมน้ำหนัก นอกจากนี้ยังทำให้มีความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น ท่าทางสง่าผ่าเผยมากขึ้น สามารถเข้าสังคมได้ดีขึ้น
3. ทำให้การทรงตัวดีขึ้น มีความแคล่วคล่องว่องไว กระฉับกระเฉง การทำงานของอวัยวะต่างๆมีความสัมพันธ์และประสารงานกันเป็นอย่างดี ดังนั้นผู้ที่ออกกำลังกายอยู่เสมอจึงประสบอุบัติเหตุน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ ออกกำลังกาย เพราะจะช่วยให้ขึ้นลงบันได ขึ้นรถ ลงเรือ ได้ปลอดภัยมากกว่า
4. ทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายหนัก หรือถ่าบเบา จนกระทั่งระบบขับเหงื่อ ส่งผลให้ร่างกายและจิตใจปลอดโปร่ง หมดปัญหาเรื่องท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูก และไม่ต้องพึ่งยาระบาย
5. ชะลอความเสื่อมของอวัยวะ หากเราออกกำลังกายอย่างพอเหมาะ จะทำให้แก่ช้า มีอายุยืนยาว และทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้นมาก ผู้สูงอายุที่ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม จะช่วยชะลอความเสื่อมของอวัยวะได้อย่างดีที่สุด
6. ทำให้สุขภาพจิตดี การออกกำลังกายที่หนักพอสมควรทำให้สาร เอ็นดอร์ฟินหลั่ง ทำให้ลดความเจ็บปวดและต่อต้านความซึมเศร้าได้ด้วย กล่าวกันว่าการวิ่งติดต่อกันเป็นเวลาประมาณ 18-20 นาที จะทำให้อาการทางจิตดีขึ้นเท่ากับ การกินยากล่อมประสาท 1 โดส จิตแพทย์จึงนิยมใช้การออกกำลังกายเป็นวิธีช่วยผู้ป่วยคลายเครียด
7. ทำให้นอนหลับดีขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่นอนไม่หลับจากความ เครียด และความวิตกกังวล จากการศึกษาพบว่า ผู้ที่ไม่ออกกำลังกายจะเกิดอาการวิตกกัลวลได้มากกว่าผู้ที่ออกกำลังกายถึง 4 เท่า
8. ทำให้ดูดีขึ้น การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ช่วยให้ฮอร์โมนเพศหลั่งมากขึ้น ช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง รูปร่างสมส่วน กล้ามเนื้อกระชับได้รูป เต่งตึง ทำให้ดูดีขึ้นอีกมากโข
9. ทำให้หัวใจ ปอด หลอดเลือด ทำงานดีขึ้น การออกกำลังกาย บางรูปแบบเช่น แอโรบิก ช่วยให้การทำงานของหัวใจ ปิด และหลอดเลือดดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพิ่มความแข็งแรง ทนทาน ทำให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
10. ช่วยบรรเทา และรักษาโรค เมื่อออกกำลังกายตามคำแนะนำของ แพทย์ ผู้ป่วยเบาหวานจะมีระดับน้ำตาลต่ำลง ทำให้ลดการใช้ยาได้ คนที่มีความดันสูงก็จะต่ำลงได้ ในทางตรงกันข้ามผู้ที่มีโรคความดันต่ำก็จะทำให้ความดันสูงขึ้นได้ นอกจากนี้ยังทำให้ไขมันในเลือดลดลง บรรเทาอาการปวดหลัง ปวดคอ
11. ช่วยรักษาสุขภาพสุภาพสตรี หากท่านเป็นคนที่ตั้งครรภ์ยาก การออกกำลังกายอาจช่วยทำให้ตั้งครรภ์ได้ง่ายขึ้น และเมื่อครบกำหนดคลอดก็ทำให้คลอดง่ายด้วย ช่วยลดปัญหาต่างๆที่จะเกิดขึ้นหลังคลอด และสามารถฟื้นฟูรูปร่างให้กลับสู่สภาพเดิมได้ดีขึ้นด้วย ทั้งยังลดโอกาสของการเกิดมะเร็งมดลูก และมะเร็งเต้านมด้วย
12. ทำให้ประหยัดค่ารักษาพยาบาล ผู้ที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำ เสมอจะทำให้ป่วยน้อย จึงประหยัดค่ารักษาพยาบาลได้มาก จากสถิติในสหรัฐอเมริกาพบว่า ผู้ที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอจะมีวันลาเพียง 1 ใน 3 ของผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย

เมื่อนับข้อดีได้ 12 ข้อขนาดนี้แล้วยังจะอดใจไม่ออกกำลังกายกันได้อยู่อีกหรือ ?

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการออกกำลังกาย

หลายๆคนมีความเข้าใจผิดในเรื่องของการออกกำลังกาย ทำให้การออกกำลังกายกลายเป็นเรื่องที่ดูยุ่งยากมากขึ้น โอกาสในการที่จะออกกำลังกายจึงลดน้อยลง เพราะบางคนถึงกับท้อแท้และเลิกออกกำลังกาย หากแก้ไขความเข้าใจผิดเหล่านี้ได้ จะช่วยให้เราตัดสินใจออกกำลังกายได้มากขึ้น

ความเข้าใจผิดๆเกี่ยวกับการออกกำลังกายที่พบอยู่เป็นประจำ อาทิ

1. การออกกำลังกายทำให้กินมากขึ้น นับเป็นความเข้าใจผิดที่ พบบ่อยมาก โดยเข้าใจว่า เมื่อยามคนเราออกกำลังมาก ย่อมต้องเหนื่อยมาก จึงน่าจะต้องกินอาหารมากตามไปด้วย เป็นเหตุให้คนที่อ้วนอยู่แล้ว หรือคนที่ไม่อยากอ้วนขึ้น ไม่กล้าออกกำลังกาย นักสรีระวิทยาจึงได้ทำการศึกษา วิจัย แล้วจึงได้ข้อสรุปว่า ความคิดนี้ ไม่เป็นความจริง การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพโดยทั่วๆไปนั้น ไม่ได้ทำให้กินอาหารมากขึ้น ในทางตรงกันข้ามยังพบว่าการออกกำลังกายแบบแอโรบิกนั้นทำให้กินน้อยลงอีกด้วย
2. อายุมากแล้วไม่คววรออกกำลังกาย บางคนมีความคิดว่า ร่างกายของคนเราเหมือนเครื่องจักร คือเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยชรา ทำงานมากนาน อวัยวะต่างๆเริ่มชำรุดทรุดโทรม การออกกำลังกายจะยิ่งเป็นการเพิ่มภาระให้ร่างกายต้องทำงานมากขึ้น ร่างกายก็คงจะต้องแย่ลงเร็วขึ้น แต่ในความเป็นจริง ร่างกายของเราแตกต่างจากเครื่องจักรอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากร่างกายของคนเราสามารถซ่อมแซม และปรับตัวเองได้ อวัยวะต่างๆเช่น กล้ามเนื้อ กระดูก ที่ถูกใช้งานบ่อยๆ จะแข็งแรงกว่าปล่อยให้อยู่เฉยๆ ดังนั้นผู้สูงอายุจึงยังควรต้องออกกำลังกายอยู่เสมอ โดยทำให้ถูกต้อง เหมาะสมกับวัย และไม่หักโหมจนเกินไป ยิ่งหากผู้ใดได้ออกกำลังกายเป็นประจำอยู่แล้วตั้งแต่อายุยังน้อย ก็สามารถออกกำลังกายไปได้เรื่อยๆ เช่น คุณลุงคนหนึ่งแกเริ่มวิ่งมาตั้งแต่อายุ 10 กว่าๆ แล้วยังคงวิ่งจนถึงอายุ 76 ปี เมื่อคุณหมอลองตรวจสมรรถภาพของคุณลุงคนนี้ดู ก็พบว่า คุณลุงมีสมรรถภาพเทียบเท่ากับคนทั่วๆไปที่มีอายุ 40 ปีเท่านั้นเอง
3. ทำงานเหนื่อยพอแล้ว อย่าออกกำลังกายอีกเลย บางคนคิดว่าการออกกำลังกายหลังจากทำงานมาทั้งวันแล้วจะทำให้ยิ่งเหนื่อยมาก ขึ้น ควรจะไปนั่งเล่น นอนเล่น ดูหนังฟังเพลงจะดีกว่า บางคนแม้ตลอดวันไม่ได้ทำงานที่ต้องใช้แรง ใช้เพียงความคิด ก็ยังอุตส่าห์คิดไปว่า สมองล้า เครียดแล้ว ไปพักผ่อนดีกว่า อย่าออกกำลังกายเลย แต่ความจริงแล้วการออกกำลังกายอย่างพอดี กลับจะช่วยทำให้ผ่อนคลายทั้งความเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้าและความเครียดอีกด้วย โดยควรดูตามความเหมาะสมกับกิจกรรมที่คุณทำในแต่ละวัน เช่น หากคุณต้องเดินมาทั้งวันแล้ว คุณอาจเลทอกการออกกำลังกายที่ไม่ใช้กล้ามเนื้อส่วนขามากนัก โดยหันมาใช้แขน หรือลำตัวจะดีกว่า เช่นเลือกการว่ายน้ำ เป็นต้น
4. การออกกำลังกานจะทำให้มีกล้ามเป็นมัด คุณสุภาพสตรีมักจะ กลัวว่า ถ้าออกกำลังกายแล้วจะทำให้มีกล้ามแขน ขา ใหญ่ขึ้น ดูไม่สวย แท้จริงการที่ผู้หญิงจะมีกล้ามเป็นมัดๆได้นั้น จะต้องเกิดจากการเพาะกายอย่างเอาจริงเอาจัง ไม่ใช่เกิดจากการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ ในทางตรงกันข้ามคุณผู้หญิงที่ไม่ชอบออกกำลังกายจะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแอ หย่อนยาน ลีบ เหลว ดูน่าเกลียดจริงๆ และไม่ว่าจะใช้ครีมอะไรก็ไม่สามารถทำให้ผิวกระชับขึ้นมาได้เลย
5. การออกกำลังกายทุกแบบสามารถช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ การออกกำลังกายที่ให้ประโยชน์ต่อหัวใจ ระบบไหลเวียนโลหิต ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดของหัวใจได้ คือการออกกำลังกายแบบแอโรบิกเท่านั้น

การออกกำลังกายแบบแอโรบิก

การออกกำลังกายแบบแอโรบิก ได้รับการยอมรับว่าเป็นการออกกำลังกายที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายอย่างสมบูรณ์ แบบที่สุด กล่าวคือ สามารถทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นได้อย่างแท้จริง เนื่องจากการออกกำลังกายแบบแอโรบิกช่วยทำให้ปอด หัวใจ หลอดเลือด และระบบไหลเวียนโลหิตทั่วร่างกายมีความแข็งแรง มีประสิทธิภาพ จึงทำงานตามระบบได้อย่างดี
การออกกำลังกายแบบแอโรบิก คือการออกกำลังกายที่ร่างกายต้องใช้ออกซิเจนจำนวนมากติดต่อกันเป็นระยะเวลา พอสมควร ที่จะทำให้ระบบการทำงานของหัวใจ ปอด หลอดเลือด และการไหลเวียนเลือดทั่วร่างกายแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด มีการออกกำลังกายหลายแบบที่ร่างกายต้องการใช้ออกซิเจนแต่ไม่จัดว่าเป็นการ ออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น นักกล้ามที่ออกกำลังจนกล้ามเป็นมัดๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าปอดและหัวใจของพวกเขาจะแข็งแรงตามไปด้วย เคยมีการทดลองโดยให้ผู้ที่ชนะเลิศในการประกวดชายงามมาทดสอบความแข็งแรงของ ปอดและหัวใจ โดยการให้วิ่งบนสายพาน ผลปรากฎว่าวิ่งกันได้ไม่นานก็หอบเสียแล้ว ทำเอาซึมไปตามๆกัน ที่เป็นเช่นนี้เพราะนักกล้ามไม่ได้รับการฝึกแบบแอโรบิกเลย จึงมีแต่พลังที่จะใช้ได้ในระยะเวลาเพียงสั้นๆเท่านั้น ขาดความทนทาน จึงไม่ถือว่าเป็นผู้ที่มีความสมบูรณ์แข็งแรงอย่างแท้จริง ปัจจุบันนี้นักกล้ามจึงนิยมหันมาออกกำลังกายแบบแอโรบิกด้วยการยกน้ำหนักกัน มาก

เมื่อออกกำลังกายแบบแอโรบิกร่างกายจะถูกฝึกฝนโดยการ

1. ระบบหายใจทำงานเร็วและแรงมากขึ้น เพื่อนำออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายมากขึ้น เพื่อนำไปฟอกเลือดที่ต้องหมุนเวียนมากขึ้น
2. หัวใจเต้นเร็วและแรงขึ้น เพื่อให้สูบเลือดได้มากขึ้น เพราะขณะที่ออกกำลังกายอย่างหนัก กล้ามเนื้อจะต้องการเลือดมากขึ้นประมาณ 10 เท่า
3. หลอดเลือดใหญ่และหลอดเลือดเล็กขยายตัวมากขึ้น เพื่อลำเลียงเลือดไปยังส่วนต่างๆในร่างกายได้อย่างเต็มที่

ด้วยเหตุนี้ การออกกำลังกายแบบแอโรบิกจึงสามารถปรับตัวให้ร่างกายทนต่องานหนักได้เป็นเวลานาน
การออกกำลังกายแบบนี้จะต้องใช้เวลาประมาณ
20-45 นาที โดยทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้งจึงจะเห็นผล สิ่งที่สำคัญก็คือ ต้องออกกำลังให้หนักพอ แต่ไม่หนักจนเกินไป โดยดูตามความเหมาะสมของสภาพร่างกายและวัยประกอบด้วย

เริ่มต้นออกกำลังกายเสียแต่วันนี้

ทั้งๆที่รู้ว่า การออกกำลังกายมีคุณประโยชน์อันมหาศาลขนาดไหน แต่คนหลายคนก็ปฏิเสธการออกกำลังกายโดยให้เหตุผลว่า ไม่มีเวลา

ซึ่งน่าเห็นใจ สำหรับคนที่ไม่มีเวลาจริงๆ แต่สำหรับบางคนที่ใช้คำว่าไม่มีเวลากับการออกกำลังกาย แต่มักจะ มีเวลาเสมอสำหรับ การไปเดินว็อปปิ้งเป็นเวลานานๆ ดูหนัง ฟังเพลง สังสรรค์ กินดื่ม หรือนั่งคุยเล่น ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ต้องใช้เวลามากกว่าการออกกำลังกายเสียอีก อย่างนี้เรียกว่ายังไม่เห็นคุณค่าของการออกกำลังกาย
สำหรับคนที่ทำงานยุ่งมากจนไม่มีเวลาออกกำลังกายนั้น ต้องขอบอกว่า คุณกำลังยุ่งเกินไปแล้วจริงๆ ควรจะหาทางลดงานที่ทำลงบ้าง ไม่อย่างนั้นคุณอาจล้มป่วยวันใดวันหนึ่ง แล้วงานที่ทำอยู่จะต้องเสียหายมากจนร่างกายของเขาเองต้องประท้วงด้วยการล้ม ป่วยเป็นวันๆ ทำให้เสียเวลา เสียเงินทองในการรักษาพยาบาลโดยไม่จำเป็น
ดังนั้นเรื่องที่คนเราจะแบ่งเวลาสัก
20 นาทีจากที่มีวันละ 1,440 นาที จึงเป็นเรื่องที่ไม่ยากเกินไป ขอเพียงเราเห็นความสำคัญของการออกกำลังกาย เราก็จะสละเวลาได้เสมอ แต่หากเราไม่เห็นค่าเสียแล้ว เราก็จะหาข้ออ้างอื่นๆมาอ้างอีกจนได้

เริ่มต้นวันด้วยกายบริหาร

เมื่อคุณตื่นขึ้นตอนเช้า ก่อนที่คุณจะลุกขึ้นจากเตียง ควรจะยืดเส้นสายให้กับร่างกายเสียก่อน โดยการเหยียดตัวออกอย่างเต็มที่ บิดข้อเท้าและนิ้วเท้าไปมา อย่างที่เราเรียกว่าบิดขี้เกียจนั่นเอง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต และทันทีที่ลุกขึ้นควรทำกายบริหาร เพื่อให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัวและมีชีวิตชีวาตลอดวัน

1. เหยียดตัวขึ้น ยืนตรง แยกเท้าออกจากกัน ยกแขนขึ้นเหนือศีรษะและเหยียดมือออกไป ท่านี้จะช่วยยืดเส้น และกล้ามเนื้อได้ทั่วตัว
2. ก้มตัวลง งอเข่าเล็กน้อยและโน้มตัวลงให้มือแตะตื้น (หากมือไม่ถึง ไม่เป็นไร ทำเท่าที่ทำได้อย่าฝืนเกินไป) โดยปล่อยคอ และศีรษะตามสบาย แล้วค่อยๆยืดหลังขึ้นมา
3. เหยียดตัวไปด้านข้าง ยืนตรงแยกเท้าออกจากกันให้กว้างเท่าขนาดความกว้างของหัวไหล่ ค่อยๆเอนตัวไปทางขวาเพื่อยืดกล้ามเนื้อซี่โครงด้านซ้าย แล้วกลับมายืนท่าตรงอย่างช้าๆ ทำเช่นเดียวกันอีกข้างหนึ่ง
4. หมุนไหล่ ไปด้านหลังห้ารอบ หมุนกลับมาด้านหน้าอีกห้ารอบ ทำซ้ำสามครั้ง
5. เหยียดเส้นคอ กับหน้าให้คางชิดหน้าอก ค้างไว้สักครู่แล้วจึงเงยหน้าขึ้น
6. แหงนศีรษะไปด้านหลังเพื่อยืดลำคอด้านหน้า และกระดูกสันหลังตอนบน นั่งในท่านี้สักพักก่อนกลับมาสู่ท่าปกติ ทำท่าเหยียดต้นคอ และท่าแหงนศีรษะสลับกันท่าละสามครั้ง


อ่านบทความถัดไป >> การนวดและการกดจุดเสริมการล้างพิษ

อ่านบทความก่อนหน้า >> อาหารกับการล้างพิษ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น